การตลาดออนไลน์เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หนึ่งในคำถามที่นักการตลาด SEO หลายท่านอาจกำลังขบคิดอย่างหนักก็คือ “Google rank tracking หรือ การติดตามอันดับ Google ยังมีความสำคัญอยู่หรือไม่? หรือว่ามันได้กลายเป็นเรื่องที่ ‘ตาย’ ไปแล้ว?”
ในอดีต การติดตามอันดับเว็บไซต์ถือเป็นหัวใจสำคัญของการทำ SEO เราใช้เครื่องมือต่างๆ เพื่อตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของเราอยู่ในอันดับที่เท่าไหร่สำหรับคำหลักที่เราต้องการ เมื่ออันดับขยับขึ้น นั่นหมายถึงความสำเร็จ และเป็นสัญญาณว่ากลยุทธ์ SEO ของเรามาถูกทางแล้ว
แต่ในปัจจุบัน Google Search Engine ได้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด อัลกอริทึมมีความซับซ้อนมากขึ้น ผลการค้นหาถูกปรับแต่งให้เป็นเฉพาะบุคคล และมีองค์ประกอบใหม่ๆ บนหน้าผลการค้นหา (SERP Features) เพิ่มขึ้นมากมาย สถานการณ์เหล่านี้ทำให้นักการตลาด SEO หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า “การติดตามอันดับแบบเดิมๆ ยังให้ข้อมูลที่ถูกต้อง และเป็นประโยชน์อยู่หรือไม่?”
สถานการณ์ปัจจุบันของการติดตามอันดับ Google มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ
บทความจาก Search Engine Land ได้รวบรวมความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ SEO หลายท่านเกี่ยวกับประเด็นนี้ ซึ่งแต่ละท่านก็มีมุมมองที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง:
- Patrick Stox จาก Ahrefs มองว่าการติดตามอันดับยังคงมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่ต้องเข้าใจข้อจำกัดและบริบทของข้อมูลที่ได้ เครื่องมือติดตามอันดับอาจยังคงมีประโยชน์ในการติดตามภาพรวมของประสิทธิภาพ SEO และการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว แต่ไม่ควรยึดติดกับตัวเลขอันดับเพียงอย่างเดียว
- Mordy Oberstein จาก Semrush เน้นย้ำว่า “Rank is dead. Visibility is the new rank.” หรือ “อันดับตายแล้ว การมองเห็นคืออันดับใหม่” ในยุคที่ SERP Features มีบทบาทมากขึ้น การวัดผล SEO ควรเปลี่ยนจากการโฟกัสแค่อันดับ ไปสู่การวัดผลการมองเห็นโดยรวมของเว็บไซต์ในหน้าผลการค้นหา
- Lily Ray จาก Amsive Digital ชี้ให้เห็นว่า Google ปรับแต่งผลการค้นหาให้เป็นเฉพาะบุคคลมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้การติดตามอันดับจากเครื่องมือทั่วไปอาจไม่สะท้อนผลลัพธ์ที่แท้จริงของผู้ใช้แต่ละคน ดังนั้น การทำความเข้าใจพฤติกรรมผู้ใช้ และประสบการณ์ผู้ใช้จึงมีความสำคัญมากกว่าการไล่ตามตัวเลขอันดับ
จากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ เราเห็นได้ว่า “การติดตามอันดับ” ไม่ได้ “ตาย” ไปอย่างสิ้นเชิง แต่มีการ “เปลี่ยนแปลง” และความหมายของมันได้ “ขยาย” ออกไป การติดตามอันดับแบบเดิมๆ ที่เน้นแค่ตัวเลข อาจไม่เพียงพออีกต่อไป นักการตลาด SEO ต้องปรับตัวและมองภาพ SEO ในมุมที่กว้างขึ้น
ทำไม Google rank tracking แบบเดิมถึง “ตาย” หรือเปลี่ยนแปลงไป?
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การติดตามอันดับเปลี่ยนแปลงไป มีดังนี้
- Personalization (การปรับแต่งผลการค้นหาเฉพาะบุคคล) Google ฉลาดล้ำขึ้นมากในการปรับแต่งผลการค้นหาให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้แต่ละคน โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น
- ประวัติการค้นหา Google เรียนรู้จากประวัติการค้นหาของคุณ และแสดงผลลัพธ์ที่คุณน่าจะสนใจมากขึ้น
- สถานที่ตั้ง หากคุณค้นหา “ร้านอาหารอิตาเลียน” Google จะแสดงร้านอาหารใกล้เคียงกับตำแหน่งของคุณ
- อุปกรณ์ที่ใช้ ผลการค้นหาอาจแตกต่างกันไปหากคุณค้นหาจากคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือด้วย
Personalization นี้ ทำให้ผลการค้นหาที่คุณเห็น อาจไม่เหมือนกับผลการค้นหาที่เครื่องมือติดตามอันดับรายงาน ดังนั้น การยึดติดกับตัวเลขอันดับจากเครื่องมือ อาจทำให้คุณเข้าใจสถานการณ์ SEO ผิดพลาดได้
- SERP Features (คุณสมบัติพิเศษบนหน้าผลการค้นหา) ปัจจุบันหน้าผลการค้นหาของ Google ไม่ได้มีแค่ “10 ลิงก์สีฟ้า” เหมือนในอดีต แต่เต็มไปด้วยคุณสมบัติพิเศษมากมาย เช่น
- Featured Snippets กล่องคำตอบเด่นที่แสดงข้อมูลสรุปจากเว็บไซต์
- Knowledge Panels ข้อมูลสรุปเกี่ยวกับบุคคล สถานที่ หรือสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการค้นหา
- Local Packs ผลการค้นหาร้านค้าหรือธุรกิจในท้องถิ่น พร้อมแผนที่และข้อมูลติดต่อ
- Image/Video Carousels แถบรูปภาพหรือวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับการค้นหา
- People Also Ask คำถามที่เกี่ยวข้องที่ผู้คนมักถามกัน
SERP Features เหล่านี้แย่งชิงพื้นที่บนหน้าผลการค้นหาไปจากผลการค้นหาแบบเดิม บางครั้งเว็บไซต์ที่อยู่ใน “อันดับ 1” แบบเดิม อาจถูกลดความโดดเด่นลง เพราะถูก SERP Features เหล่านี้ดึงความสนใจไป ดังนั้น การวัดผล SEO จึงต้องพิจารณาถึงการปรากฏตัวของเว็บไซต์ใน SERP Features ต่างๆ ด้วย ไม่ใช่แค่อันดับ
- AI และ Machine Learning ในอัลกอริทึม Google ใช้อัลกอริทึมที่ขับเคลื่อนด้วย AI และ Machine Learning ในการจัดอันดับ ทำให้ปัจจัยในการจัดอันดับมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ อัลกอริทึมเหล่านี้เรียนรู้และปรับปรุงตัวเองอยู่ตลอดเวลา ทำให้การพึ่งพาแค่ “คำหลัก” และ “อันดับ” อาจไม่เพียงพอ
การทำ SEO ในยุคนี้ จึงต้องเน้นไปที่การสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ การปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience – UX) และการสร้างเว็บไซต์ให้เป็นที่น่าเชื่อถือ มากกว่าการพยายาม “ปั่นอันดับ” ด้วยเทคนิคเดิมๆ
สิ่งที่ “ไม่ตาย” และยังคงสำคัญในยุคนี้
แม้ว่าการติดตามอันดับแบบเดิมอาจเปลี่ยนแปลงไป แต่ยังมีสิ่งสำคัญที่นักการตลาด SEO ต้องให้ความสนใจ และให้ความสำคัญ
- การติดตาม “Visibility” (การมองเห็น) แทนที่จะโฟกัสแค่ “อันดับ” ซึ่งอาจมีความผันผวนและไม่สะท้อนภาพรวมที่แท้จริง ควรให้ความสำคัญกับการวัดผล “Visibility” หรือ “การมองเห็น” โดยรวมของเว็บไซต์ในหน้าผลการค้นหา การวัด Visibility สามารถทำได้โดย
- ดู Impression จำนวนครั้งที่เว็บไซต์ของคุณปรากฏในผลการค้นหา (ไม่ว่าผู้ใช้จะคลิกหรือไม่ก็ตาม)
- วัด Click-through Rate (CTR) อัตราส่วนของจำนวนคลิกต่อจำนวน Impression CTR ที่ดี บ่งบอกว่าเว็บไซต์ของคุณน่าสนใจและดึงดูดผู้ใช้
- วิเคราะห์ Traffic ที่มาจาก Organic Search ปริมาณผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่มาจากผลการค้นหาธรรมชาติ Traffic ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บ่งบอกว่า SEO ของคุณมาถูกทาง เครื่องมือ SEO หลายตัว เช่น Semrush, Ahrefs หรือ Moz Pro มีฟีเจอร์ในการวัด Visibility ที่ช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของการมองเห็นเว็บไซต์ของคุณในหน้าผลการค้นหาได้ดีขึ้น
- การวิเคราะห์ SERP Landscape (ภูมิทัศน์หน้าผลการค้นหา) ทำความเข้าใจว่าหน้าผลการค้นหาสำหรับคำหลักเป้าหมายของคุณมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร มี SERP Features อะไรบ้างที่ปรากฏ คู่แข่งของคุณกำลังทำอะไร การวิเคราะห์ SERP Landscape ช่วยให้คุณ
- เข้าใจ Intent ของผู้ใช้ SERP Features ที่ปรากฏ บ่งบอกถึงความต้องการ และประเภทของข้อมูลที่ผู้ใช้ต้องการสำหรับคำหลักนั้นๆ
- ระบุโอกาส SERP Features บางอย่าง เช่น Featured Snippets หรือ People Also Ask อาจเป็นโอกาสให้คุณสร้างเนื้อหาเพื่อแย่งชิงพื้นที่เหล่านั้น
- วิเคราะห์กลยุทธ์คู่แข่ง ดูว่าคู่แข่งของคุณปรากฏตัวใน SERP Features ใดบ้าง และใช้ข้อมูลนี้ในการปรับกลยุทธ์ SEO ของคุณ
- การวัดผลในภาพรวมของธุรกิจ SEO ไม่ควรมองแค่การเพิ่ม “อันดับ” หรือ “Traffic” เท่านั้น เป้าหมายสูงสุดของการทำ SEO คือการสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจ เช่น Leads, Sales, Brand Awareness ดังนั้น การวัดผลลัพธ์ทางธุรกิจที่แท้จริงจึงสำคัญกว่าแค่ตัวเลขอันดับ
คุณควรเชื่อมโยงกิจกรรม SEO กับเป้าหมายทางธุรกิจ และวัดผลด้วย Metrics ที่เกี่ยวข้อง เช่น- Conversion Rate อัตราส่วนของผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่ทำตามเป้าหมายที่คุณตั้งไว้ (เช่น การกรอกแบบฟอร์ม, การสั่งซื้อสินค้า)
- Cost per Acquisition (CPA) ค่าใช้จ่ายในการได้มาซึ่งลูกค้าใหม่ผ่านช่องทาง Organic Search
- Return on Investment (ROI) ของ SEO ผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนทำ SEO
เครื่องมือ และกลยุทธ์ SEO ที่ควรปรับใช้
ในยุคที่การติดตามอันดับเปลี่ยนแปลงไป นักการตลาด SEO ควรปรับเครื่องมือ และกลยุทธ์ที่ใช้ โดยเน้นไปที่
- เครื่องมือวิเคราะห์ Keyword ที่ครอบคลุม เลือกใช้เครื่องมือที่ช่วยคุณค้นหาคำหลักที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ Volume, Keyword Difficulty และ Search Intent ของคำหลัก เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้คุณเลือกคำหลักที่เหมาะสมและสร้างเนื้อหาที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างตรงจุด
- เครื่องมือวิเคราะห์ SERP ใช้เครื่องมือที่ช่วยคุณวิเคราะห์ SERP Landscape ตรวจสอบ SERP Features ที่ปรากฏ วิเคราะห์คู่แข่ง และติดตามการเปลี่ยนแปลงของหน้าผลการค้นหา
- เครื่องมือ Web Analytics (เช่น Google Analytics) เครื่องมือเหล่านี้ยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการวัดผล Traffic, Behavior และ Conversions ของผู้ใช้บนเว็บไซต์ Google Analytics ช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมผู้ใช้ วัดผลประสิทธิภาพของเนื้อหา และระบุจุดที่ต้องปรับปรุง
- เครื่องมือ Search Console Google Search Console เป็นเครื่องมือฟรีจาก Google ที่ช่วยให้คุณตรวจสอบประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณใน Search ตรวจสอบ Coverage, Speed, Mobile-Friendliness และปัญหาทางเทคนิคอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อ SEO
กลยุทธ์ SEO ที่ควรให้ความสำคัญ
- Content Optimization สร้างเนื้อหาคุณภาพสูงที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ เป็นเนื้อหา Original, Comprehensive, Engaging และ Actionable และที่สำคัญ ต้องเป็นไปตามหลัก E-E-A-T (Experience, Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ Google ให้ความสำคัญในการจัดอันดับ
- Technical SEO ปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์ให้เป็นมิตรกับ Search Engine ดูแลเรื่องความเร็วเว็บไซต์ (Page Speed), Mobile-Friendliness, Schema Markup, Site Architecture และปัจจัยทางเทคนิคอื่นๆ Technical SEO ที่ดี เป็นรากฐานสำคัญของ SEO ที่แข็งแกร่ง
- Off-Page SEO สร้าง Backlinks คุณภาพสูงจากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ และเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ สร้าง Brand Mentions และ Social Signals Off-Page SEO ช่วยเพิ่ม Authority และ Trustworthiness ให้กับเว็บไซต์ของคุณ
“การติดตามอันดับ” ไม่ได้ “ตาย” แต่มีการ “เปลี่ยนแปลง” และพัฒนาไปตามยุคสมัย นักการตลาด SEO ที่ประสบความสำเร็จในยุคปัจจุบัน คือนักการตลาดที่ “ปรับตัว” และ “เรียนรู้” การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ แทนที่จะยึดติดกับการติดตามอันดับแบบเดิมๆ เราต้องเปลี่ยนมุมมอง หันมาให้ความสำคัญกับการวัดผล Visibility, การวิเคราะห์ SERP Landscape, และการวัดผลลัพธ์ ทางธุรกิจ ที่แท้จริง
SEO ในยุคนี้ ไม่ใช่แค่การ “ปั่นอันดับ” แต่เป็นการสร้าง “คุณค่า” ให้กับผู้ใช้ และสร้าง “การเติบโต” ให้กับธุรกิจ หากคุณเข้าใจ และปรับตัวตามแนวโน้มใหม่ๆ นี้ เราเชื่อมั่นว่าคุณจะยังคงประสบความสำเร็จในการทำ SEO ได้อย่างแน่นอน!