การยิงแอดโฆษณาออนไลน์ในปัจจุบันถือเป็นกลยุทธ์หลักที่ธุรกิจต่าง ๆ ใช้เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น แต่ทำอย่างไรให้แน่ใจว่าเงินทุกบาทที่ลงไปกับโฆษณาจะคุ้มค่า? และหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อความสำเร็จของแคมเปญโฆษณาก็คือ ค่า Click Through Rate หรือ CTR ซึ่งบ่งบอกถึงประสิทธิภาพของโฆษณา ในการดึงดูดให้ผู้คนคลิกเข้าไปชมเว็บไซต์ สำหรับบทความในวันนี้ Bizsoft จะพาคุณไปเจาะลึก 3 ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อ CTR เพื่อไขความลับสู่ความสำเร็จของแคมเปญโฆษณาออนไลน์แบบไม่มีกั๊ก!
CTR คืออะไร?
Click Through Rate หรือ CTR คืออัตราส่วนที่แสดงให้เห็นว่ามีคนคลิกโฆษณาของคุณบ่อยเพียงใด เมื่อเทียบกับจำนวนครั้งที่โฆษณาปรากฏขึ้น ค่า CTR คำนวณได้จากจำนวนคลิกที่โฆษณาได้รับหารด้วยจำนวนครั้งที่โฆษณาแสดง แล้วคูณด้วย 100
สูตรคำนวณ : (คลิก ÷ การแสดงผล) × 100 = CTR
ตัวอย่างเช่น แคมเปญโฆษณาของคุณมีการคลิก 50 ครั้ง และการแสดงผล 1,000 ครั้ง คำนวณ CTR ตามสูตรได้
(50 ÷ 1,000) × 100 = 5%
ดังนั้น แคมเปญโฆษณานี้จึงได้รับค่า CTR = 5% จากการแสดงผลทั้งหมด
อัตราการคลิกที่ดีคือเท่าไร?
อัตราการคลิกที่ดี (CTR) นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยไม่มีค่าที่ตายตัว แต่โดยทั่วไปแล้ว CTR ที่ดีควรอยู่ที่ประมาณ 3% ถึง 5% ขึ้นไปสำหรับโฆษณาแบบ Search Ads อย่างไรก็ตาม CTR ที่ดีจะแตกต่างกันไปตามปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
- ประเภทของโฆษณา
- Search Ads: มักมี CTR สูงกว่า เนื่องจากแสดงผลให้กับผู้ใช้ที่กำลังค้นหาสิ่งที่เกี่ยวข้องโดยตรง
- Display Ads: มักมี CTR ต่ำกว่า (ปกติอยู่ที่ประมาณ 0.5%-1%) เนื่องจากแสดงผลให้กับผู้ใช้ที่อาจไม่ตั้งใจค้นหาข้อมูลนั้น ๆ แต่เป็นการดึงดูดผ่านการแสดงผลในเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันต่าง ๆ
- อุตสาหกรรม แต่ละอุตสาหกรรมมีค่า CTR เฉลี่ยที่แตกต่างกัน เช่น อุตสาหกรรมกฎหมายมี CTR เฉลี่ยอยู่ที่ 85% ในขณะที่อุตสาหกรรมบันเทิงมี CTR เฉลี่ยอยู่ที่ 10.67%
- คุณภาพของโฆษณา เนื้อหาที่น่าสนใจ คำโปรยที่ชัดเจน และภาพที่ดึงดูดสามารถเพิ่ม CTR ได้ หากโฆษณามีความน่าสนใจ และตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
- ตำแหน่งของโฆษณา โฆษณาที่อยู่ในตำแหน่งที่ดี เช่น หน้าแรกของผลการค้นหาหรือส่วนบนของหน้าเว็บไซต์ มักมี CTR สูงกว่าโฆษณาที่อยู่ในตำแหน่งด้านล่าง
หนึ่งสิ่งสำคัญคือต้องพิจารณา CTR ควบคู่ไปกับปัจจัยอื่น ๆ ด้วย เช่น Conversion Rate และ ROI เพื่อประเมินประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณาโดยรวม
3 ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่า CTR (Click Through Rate)
ปัจจัยที่ 1 คุณภาพ และความน่าสนใจของข้อความโฆษณา
โฆษณาที่มีคุณภาพ หรือข้อความที่ดึงดูดสายตา จะกระตุ้นให้เกิดการคลิกได้มากกว่า ซึ่งมีหลายองค์ประกอบที่ควรให้ความสำคัญ ดังนี้
- พาดหัวที่โดนใจ: พาดหัวที่ดีควรมีความยาวพอเหมาะ สั้นกระชับ แต่สื่อสารประโยชน์หลัก หรือสร้างความสนใจได้ทันที การใช้ตัวเลข หรือคำถามสามารถเพิ่ม CTR ได้อย่างมีนัยสำคัญ เช่น “5 วิธีประหยัดค่าไฟบ้านลดลงทันที 30%” หรือ “เบื่อกับปัญหาผิวแห้งหรือไม่? วิธีนี้แก้ได้ใน 7 วัน”
- การใช้คำที่กระตุ้นการตอบสนอง (Call-to-Action): คำว่า “ซื้อเลย”, “ลงทะเบียนตอนนี้”, “รับส่วนลดทันที” หรือ “ดูเพิ่มเติม” ช่วยบอกผู้ชมชัดเจนว่าต้องทำอะไรต่อไป และสร้างความรู้สึกเร่งด่วน
- ความเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย: ข้อความโฆษณาควรพูดตรงกับความต้องการ หรือปัญหาของกลุ่มเป้าหมาย ใช้คำค้นหายอดนิยม ภาษาที่ลูกค้าคุ้นเคยจะช่วยให้โฆษณาเกี่ยวข้อง และน่าสนใจมากขึ้น
- เน้นประโยชน์มากกว่าคุณสมบัติ: แทนที่จะบอกว่าสินค้ามีอะไรบ้าง ให้บอกว่าสินค้าช่วยแก้ปัญหา หรือตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างไร ตัวอย่างเช่น “ครีมบำรุงผิวสูตรวิตามินซี 20%” ให้เขียนว่า “ผิวกระจ่างใส ลดเลือนรอยดำใน 14 วัน ด้วยวิตามินซีเข้มข้น”
ปัจจัยที่ 2 การกำหนดเป้าหมายและการเลือกกลุ่มผู้ชมที่เหมาะสม
การยิงแอดให้ตรงกลุ่มเป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญ เพราะยิ่งโฆษณาตรงกับความสนใจของผู้รับชมมากเท่าไหร่ โอกาสที่พวกเขาจะคลิกก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น การกำหนดกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพสามารถทำได้โดย
- การแบ่งกลุ่มเป้าหมาย: แบ่งกลุ่มเป้าหมายตามข้อมูลประชากร เช่น อายุ เพศ สถานที่ รวมถึงพฤติกรรม ความสนใจ และปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
- การเลือกช่องทางการโฆษณา: เลือกช่องทางการโฆษณาที่กลุ่มเป้าหมายของคุณใช้งาน เช่น Facebook, Google Ads, Instagram, เป็นต้น
ปัจจัยที่ 3 ตำแหน่งและเวลาในการแสดงโฆษณา
ตำแหน่ง และเวลาที่โฆษณาปรากฏมีผลต่อโอกาสที่ผู้ใช้งานจะเห็น และคลิกโฆษณา ปัจจัยที่ควรพิจารณาประกอบด้วย
- ตำแหน่งของโฆษณา: ตำแหน่งโฆษณาสามารถส่งผลต่อ CTR อย่างมาก โฆษณาที่ปรากฏที่ด้านบนของหน้าผลการค้นหา จะมองเห็นได้ชัดเจนกว่าโฆษณาที่อยู่ด้านล่าง ส่งผลให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมมากขึ้น
- เวลาในการแสดงโฆษณา: ควรแสดงโฆษณาในช่วงเวลาที่กลุ่มเป้าหมายของคุณออนไลน์มากที่สุด
- Ad extensions: ส่วนขยายโฆษณาที่ช่วยให้ผู้ใช้ได้รับข้อมูลเพิ่มเติม ที่ช่วยสร้างความน่าสนใจให้กับโฆษณาของคุณ ซึ่งส่งผลให้ CTR สูงขึ้น เช่น ลิงก์เพิ่มเติมที่นำไปสู่หน้าเฉพาะภายในเว็บไซต์ ข้อความแจ้งเตือน
CTR ของ Google กับ Facebook ต่างกันอย่างไร
แม้ว่า CTR จะเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญบนแพลตฟอร์มโฆษณาออนไลน์ แต่ก็ต้องเข้าใจว่า CTR ใน Google และ Facebook นั้นมีความแตกต่างกัน เนื่องจากรูปแบบการโฆษณา และพฤติกรรมของผู้ใช้บนแต่ละแพลตฟอร์มไม่เหมือนกัน
- Google: ผู้ใช้ Google มักค้นหาข้อมูล หรือสินค้าที่ต้องการอย่างชัดเจน ทำให้โฆษณาที่ตรงกับความต้องการของพวกเขามีแนวโน้ม CTR สูงกว่า
- Facebook: ผู้ใช้ Facebook มักพบเห็นโฆษณาในขณะที่กำลังท่องโซเชียลมีเดีย ซึ่งอาจไม่ได้มีความต้องการซื้อสินค้า หรือบริการในขณะนั้น ทำให้ CTR บน Facebook อาจต่ำกว่า Google
เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับบทความ 3 ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่า Click Through Rate (CTR) รู้ไว้ยิงแอดได้ไม่มีพลาด! หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงความสำคัญของ CTR และปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อ CTR มากขึ้น อย่าลืมนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้กับแคมเปญโฆษณาของคุณเพื่อเพิ่ม CTR ให้สูงขึ้น ดึงดูดลูกค้า และบรรลุเป้าหมายทางการตลาดที่วางไว้
สนใจบริการ SEM และ Google Ads สามารถติดต่อ Bizsoft ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEM และ Google Ads ที่คุณวางใจได้ มีบริการครบวงจร ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ติดต่อได้แล้ววันนี้เพื่อรับคำปรึกษาฟรี! แล้วมาร่วมสร้างความสำเร็จให้กับธุรกิจของคุณไปด้วยกัน